วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มรดก

กองมรดก คืออะไร


กองมรดกคือทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน เสื้อผ้า หรือแม้แต่ของใช้ส่วนตัว แม้แต่ทองที่ครอบฟันไว้ ก็เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของผู้ตาย ซึ่งเมื่อบุคคลใดตายแล้วย่อมอยู่ในความหมายของกองมรดกด้วย

การที่คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับทรัพย์สินส่วนของตนแยกมา มิได้หมายความว่าคู่สมรสดังกล่าวได้รับมรดก หากแต่เป็นการได้ทรัพย์สินของตนคืนมา ส่วนของผู้ตายนั้น คู่สมรสจึงจะไปรับมาในฐานะมรดกอีกต่อหนึ่ง เช่น เมื่อสามีตาย มีเงินอยู่ในบัญชีของสามี ๑๐๐ ล้านบาท ถ้าเงิน ๑๐๐ ล้านบาทนั้นได้มาในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันโดยไม่ใช่เป็นสินส่วนตัวของสามี เมื่อสามีตาย เงิน ๑๐๐ ล้านจะถูกแบ่งระหว่างสามีและภริยาคนละ ๕๐ ล้าน ส่วนของสามี ๕๐ ล้านจะตกเป็นทรัพย์มรดก นำมาแบ่งกันในระหว่างผู้เป็นทายาท ซึ่งแม้ภริยาจะไม่ได้เป็นทายาท แต่ก็มีสิทธิได้รับมรดกเช่นเดียวกับทายาท เช่น ถ้าผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ และมีลูก ๔ คน เงิน ๕๐ ล้านนั้นจะแบ่งระหว่างภริยาและลูก ๆ คนละ ๑๐ ล้าน ตกลงภริยาจะได้เงิน ๖๐ ล้าน (คือ ๕๐ ล้านในฐานะที่เป็นทรัพย์สินของตนที่แยกออกมา และอีก ๑๐ ล้านในฐานะที่เป็นมรดก) และลูก ๆ ได้คนละ ๑๐ ล้าน
 
ถ้าผู้ตายเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินของท่านที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ท่านจะทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้ แต่ถ้าท่านไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินเหล่านั้นจะตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของท่าน โดยจะไม่ตกไปยังทายาทโดยธรรมทั้งปวง แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ท่านมีอยู่ก่อนอุปสมบทย่อมตกไปเป็นของทายาทได้เช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป
 
ใครบ้างมีสิทธิได้รับมรดก


คนที่จะมีสิทธิได้รับมรดกแยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ “ทายาทโดยธรรม” อันได้แก่ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย ประเภทหนึ่ง และ “ผู้รับพินัยกรรม” ซึ่งได้แก่ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม อีกประเภทหนึ่ง

ถ้าผู้ตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้ใคร ผู้รับพินัยกรรมย่อมได้รับมรดกตามนั้น และถ้าทำพินัยกรรมยกมรดกให้ใครหมดแล้ว ทายาทโดยธรรมก็จะไม่ได้รับมรดกเลย กล่าวโดยสรุปก็คือ ทายาทโดยธรรมจะได้รับมรดกก็ต่อเมื่อไม่มีพินัยกรรมระบุไว้เป็นอย่างอื่น หรือถึงมีพินัยกรรมกำหนดไว้แล้วแต่ยังมีทรัพย์สินหลงเหลืออยู่ ทรัพย์สินที่หลงเหลืออยู่จึงจะตกไปถึงทายาทโดยธรรม

แต่ทายาทโดยธรรมอาจเป็นผู้รับมรดกในฐานะผู้รับพินัยกรรมด้วยก็ได้ เช่น พ่อทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ลูก ๆ จนหมด ในกรณีนั้นลูก ๆ จะได้รับมรดกในฐานะเป็นผู้รับพินัยกรรม ส่วนในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรม ถ้าบังเอิญมีทรัพย์สินเหลืออยู่ ทรัพย์สินเหล่านั้นก็จะตกได้แก่ลูก ๆ ในฐานะทายาทโดยธรรมด้วย

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

สินสอด

สินสอด
หมายถึง ทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส (ม.1437)โดยสินสอดนั้นจะส่งมอบเมื่อใดก็ หากว่าเป็นทรัพย์สินที่ให้เพื่อ ขอขมาบิดามารดาของฝ่ายหญิงที่ตนล่วงเกินลูกสาวของเขา ทรัพย์สินนั้นไม่ใช่สินสอด แม้ต่อมาภายหลังไม่มีการสมรสชายจะเรียกคืนไม่ได้ เพราะสิ่งของที่ให้กันนั้นกฎหมายไม่ถือว่าเป็นสินสอด

ในกรณีดังต่อไปนี้ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้ มีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
1. ถ้าไม่มีการสมรสเกิดขึ้นโดยเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง เหตุที่ว่าทำให้ชายไม่สมควร หรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น หรือ
2. ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ

การผิดสัญญาหมั้น
ถ้าชาย หรือหญิงคู่หมั้นไม่ทำการสมรสกัน โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ ถือว่าคู่หมั้นนั้นผิดสัญญาหมั้นฝ่ายคู่หมั้นที่ผิดสัญญาต้องรับผิดจ่ายค่าทดแทน (ม.1439)คู่สัญญาหมั้น ไม่ใช่แค่ชายและหญิงคู่หมั้น

ค่าทดแทนในการผิดสัญญาหมั้นได้แก่ (ม.1440)
1. ค่าทดแทนความเสียหายต่อกายของอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ค่าทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียงของอีกฝ่ายหนึ่ง
3. ค่าทดแทนความเสียหายในการที่ได้ใช้จ่าย หรือ ต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร
4. ค่าทดแทนความเสียหายในกรณีที่ได้จัดการทรัพย์สินด้วยความคาดหมายว่าจะได้สมรส
5. ค่าทดแทนความเสียหายในการที่ได้จัดการด้านต่างๆ เกี่ยวกับ อาชีพ หรือทางทำมาหาได้ ด้วยคาดหมายว่าจะได้สมรส

กรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้น แก่ฝ่ายชายด้วย
ค่าทดแทนในกรณีเสมือนผิดสัญญาหมั้น
ในกรณีบอกเลิกเพราะคู่หมั้นกระทำชั่วอย่างร้ายแรงซึ่งได้กระทำภายหลังจากการหมั้น
ค่าทดแทนในกรณีที่มีเหตุอื่นใดในทางประเวณีเกิดขึ้นกับหญิงคู่หมั้น (ม.1445)
1. ชายคู่หมั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากชายอื่นซึ่งร่วมประเวณีกับหญิงคู่หมั้นโดยรู้ หรือควรรู้ว่าหญิงนั้นได้หมั้นแล้วกับตน ชายคู่หมั้นจะเรียกค่าทดแทนได้ต่อเมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้น
2. ชายคู่หมั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากชายอื่นที่ได้ข่มขืน หรือพยายามข่มขืนกระทำชำเรากับหญิงคู่หมั้น หากชายอื่นได้รู้หรือควรรู้แล้ว่าหญิงนั้นได้หมั้นแล้ว โดยไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น

ความระงับสิ้นแห่งสัญญาหมั้น
1. ความตายของคู่หมั้น
2. การเลิกสัญญาหมั้นโดยสมัครใจ
ภายหลังการหมั้นคู่หมั้นอาจตกลงเลิกสัญญาหมั้นต่อกันได้โดยตกลงเลิกสัญญาหมั้นด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งเมื่อเลิกสัญญาต่อกันแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับสู่ฐานะเดิมเหมือนไม่เคยได้ทำการหมั้นต่อกัน โดยฝ่ายหญิงต้องคืนของหมั้นและสินสอดให้แก่ฝ่ายชาย ทั้งนี้เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น
3. บอกเลิกสัญญาหมั้นโดยอ้างเหตุตามกฎหมาย

1. เหตุสำคัญอันเกิดแก่คู่หมั้น (ไม่ถือว่าผิดสัญญาหมั้น)
เหตุสำคัญต้องถึงขนาดที่ชายหรือหญิงไม่สมควรสมรสกับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่คำนึงว่าจะเกิดจากการกระทำของฝ่ายใด ไม่คำนึงว่าเหตุสำคัญจะเกิดก่อนหรือหลังการหมั้น
2. เหตุอันเกิดเพราะคู่หมั้นกระทำชั่วอย่างร้ายแรงซึ่งได้กระทำภายหลังจากการหมั้น โดยกฎหมายถือเสมือนว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น
3. กรณีเหตุอื่นใดในทางประเวณีกับหญิงคู่หมั้น

การเรียกค่าทดแทน ของหมั้นและสินสอดและอายุความ

กรณีคู่หมั้นตาย
ถ้าคู่หมั้นฝ่ายใดตายก่อนสมรสไม่ว่ากรณีใด ะไม่ถือว่าผิดสัญญาหมั้นดังนั้นคู่หมั้นอีกฝ่ายไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทน นอกจากนี้หากบุคคลที่ตายนั้นเป็นหญิงคู่หมั้น คู่สัญญาหมั้นฝ่ายชายไม่มีสิทธิเรียกของหมั้น และสินสอดคืน
กรณีผิดสัญญา หรือเสมือนว่าผิดสัญญาหมั้น
การเรียกค่าทดแทนอันเนื่องมาการผิดสัญญาหมั้น หรือเสมือนว่าผิดสัญญาหมั้นมีอายุความ 6 เดือนนับแต่วันผิดสัญญา

อายุความในการที่การเรียกร้องของหมั้นคืนมีอายุความ 6 เดือนนับแต่วันผิดสัญญา ส่วนการเรียกคืนสินสอดมีอายุความ 10 ปี นับวันผิดสัญญา

กรณีบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยสมัครใจ
ในกรณีที่สัญญาหมั้นได้เลิกลงโดยความสมัครใจของคู่หมั้น แต่ละฝ่ายจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้ โดยหญิงคู่หมั้นต้องคืนของหมั้น และสินสอด ยกเว้นแต่จะได้มีการตกลงเป็นอย่างอื่น(สงวนสิทธิในการเรียกค่าทดแทน และไม่คืนของหมั้นและสินสอด) โดยอายุความในการเรียกคืนของหมั้นและสินสอดมีอายุความ 10 ปี

กรณีบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยกฎหมาย
ในกรณีที่สัญญาหมั้นระงับโดยการบอกเลิกสัญญาหมั้นอายุความในการเรียกค่าทดแทนมีอายุความ 6 เดือนนับแต่วันรู้เหตุแห่งการบอกเลิก แต่อย่างไรแล้วต้องไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันเกิดเหตุ

ในกรณีที่การบอกเลิกสัญญาหมั้นเกิดจากเหตุสำคัญอันเกิดจากหญิงคู่หมั้น อายุความในการเรียกคืนของหมั้นมีอายุความ 6 เดือนนับแต่วันเลิกสัญญา และ การเรียกคืนสินสอดมีอายุความ 10 ปี นับวันเลิกสัญญา

ยืมใช้คงรูป

ยืมใช้คงรูป

        สัญญายืมใช้คงรูปนั้นลักษณะของการใช้ทรัพย์มิได้สิ้นเปลืองหมดไป หรือเสียภาวะเสื่อมสลายไป สัญญายืมใช้คงรูปจึงไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ให้แก่ผู้ยืม และผู้ยืมต้องคืนทรัพย์อันเดียวกับที่ยืมไปนั้นให้แก่ผู้ให้ยืมเมื่อได้ใช้สอยทรัพย์นั้นเสร็จสิ้นแล้ว
1. สัญญายืมใช้คงรูปมีลักษณะเฉพาะอันเป็นสาระสำคัญนอกเหนือไปจากลักษณะทั่วไป ของสัญญายืม เป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน และไม่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืม วัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งไม่อาจใช้ของอื่นแทนได้

2. ผู้ยืมใช้คงรูปมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมตามสัญญา และมีสิทธิต่อบุคคลภายนอกในฐานะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน แต่ก็มีหน้าที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายใช้ทรัพย์สินโดยชอบ ต้องสงวนรักษาทรัพย์สินเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง และต้องส่งคืนทรัพย์สินอันเดียวกันที่ยืมไปเมื่อถึงกำหนดเวลาต้องส่งคืน

3. ผู้ให้ยืมใช้คงรูปมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกทรัพย์สินคืนจากผู้ยืม เมื่อครบกำหนดเวลายืมหรือ เมื่อผู้ยืมปฏิบัติผิดหน้าที่ในการใช้หรือสงวนรักษาทรัพย์สิน และมีสิทธิเรียกค่าตอบแทนในความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินเนื่องจากความผิดของผู้ยืม แต่ก็มีหน้าที่ไม่ขัดขวางการใช้ทรัพย์สินของผู้ยืมตามสัญญาและรับผลแห่งภัยพิบัติในทรัพย์สินนั้นเองหากเกิดความเสียหายขึ้นโดยมิใช่ความผิดของผู้ยืม

ตัวอย่าง
          ดำให้แดงยืมรถไปทำธุระเป็นเวลา 10 วัน เมื่อครบกำหนด 10 วันแล้ว แดงเกิดมีธุระจะต้องไปทำต่ออีก 5 วัน จึงขับรถต่อไปทำธุระที่นครศรีธรรมราช หลังจากนั้นจึงขับรถกลับกรุงเทพฯ ระหว่างนั้นมีฝนตกพายุพัดอย่างหนัก แดงไม่สามารถจะขับรถหนีไปได้ จึงต้องจอดรถรออยู่ข้างทางจนกระทั่งพายุสงบเป็นเหตุให้รถยนต์ของดำต้องแช่น้ำอยู่หลายชั่วโมง ทำให้เครื่องยนต์เสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงิน 3,000 บาท ดำจะเรียกค่าซ่อมแซมจากแดงได้หรือไม่


           ตามอุทธาหรณ์เป็นการยืมใช้คงรูป แดงต้องคืนทรัพย์ คือรถยนต์นั้นเมื่อครบกำหนด 10วัน การที่แดงเอารถไปใช้ที่นครศรีธรรมราชอีก 7วัน เป็นการเอาทรัพย์ที่ยืมไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 643 เมื่อรถเกิดเสียหายในระหว่างที่แดงใช้รถโดยมิชอบ แม้จะเป็นด้วยเหตุสุดวิสัย แดงก็ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าซ่อมแซมรถดังกล่าวให้แก่ดำ


วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จ้างแรงงาน VS จ้างทำของ

จ้างแรงงาน VS จ้างทำของ

จ้างแรงงาน คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งที่เรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่งที่เรียกว่า นายจ้าง และ นายจ้างตกลงจะให้สินจ้างแก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ แต่มิได้มุ่งถึงผลสำเร็จของงานเป็นหลัก แต่อยู่ภายใต้ข้อตกหรือการบังคับบัญชาของนายจ้าง และลูกจ้างต้องทำงานตลอดไปจนกว่าจะเลิกจ้าง เช่น การจ้างครูมาสอนหนังสือ บริษัทต่างๆจ้างพนักงานมาทำงาน ฯ
* สัญญาจ้างแรงงานอาจเป็นความตกลงในการทำงานที่ต้องใช้สติปัญญา นอกจากแรงงานก็ได้ สินจ้างในสัญญาจ้างแรงงานอาจเป็นทรัพย์สินอื่นใด โดยไม่จำกัดเพียงแค่ ในรูปเงินตราเท่านั้น และ “ลูกจ้าง” ในที่นี้ไม่ได้หมายความรวมถึง ข้าราชการ และ ลูกจ้างของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ

จ้างทำของ คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ว่าจ้าง ซึ่งผู้รับจ้างสามารถใช้แรงงานหรือทรัพยากรอื่นใดก็ได้ โดยมุ่งถึงผลสำเร็จของงานเป็นหลัก เช่น นาย ก. ว่าจ้างให้ นาย ข. ต่อเติมบ้านให้ นาย ข. จะได้รับค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อต่อเติมบ้านให้ นาย ก. เสร็จเรียบร้อย ตามที่ตกลงกันไว้


ข้อแตกต่าง"สัญญาจ้างทำของ" กับ "สัญญาจ้างแรงงาน"
สัญาจ้างทำของ
1 คู่สัญญาเรียกว่า ผู้ว่าจ้าง กับ ผู้รับจ้าง
2 ผู้รับจ้างตกลงรับจะทำการงานให้จนงานนั้นสำเร็จ
3 ถือความสำเร็จของการงานเป็นสำคัญ

4 ผู้ว่าจ้างต้องจ่ายเงินสินจ้างตามความสำเร็จของการงานที่ตกลงกัน
5 ผู้รับจ้างไม่ต้องทำงานตามคำสั่ง เพียงแต่ทำงานให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเท่านั้น
6 ผู้รับจ้างเป็นผู้จัดการหาเครื่องมือสำหรับใช้ทำงานและบางครั้งอาจต้องหาสัมภาระด้วย
7 ผู้รับจ้างต้องส่งมอบการงานที่ทำให้ทันเวลาต่อผู้ว่าจ้าง
8 นิติบุคคลเป็นผู้ว่าจ้างได้และเป็นผู้รับจ้างได้

สัญญาจ้างแรงงาน
1 คู่สัญญาเรียกว่า นายจ้าง กับ ลูกจ้าง
2 ลูกจ้างตกลงจะทำงานให้ตลอดไปจนกว่าจะเลิกจ้าง
3 ถือระยะเวลาที่ทำงานให้เป็นสำคัญ
4 นายจ้างต้องจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างให้ตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้
5 ลูกจ้างต้องทำงานตามคำสั่งของนายจ้างมีการควบคุมบังคับบัญชากันได้
6 ลูกจ้างไม่ต้องจัดหาเครื่องมือ หรือสัมภาระในการทำงานเว้นแต่มีข้อตกลงพิเศษ
7 ลูกจ้างไม่ต้องส่งมอบงานที่ทำให้นายจ้างเพราะอยู่ในความควบคุมดูแลของนายจ้างอยู่แล้ว
8 นิติบุคคลเป็นนายจ้างได้ แต่เป็นลูกจ้างไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กฎหมายเกี่ยวกับการตาย

กฎหมายเกี่ยวกับการตาย
        ความตาย เป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้นจากมันไม่ว่าจะยังไงเหมือนที่พุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า " สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง " เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลก
        จากละครเรื่อง Happy Birth Day เรื่องราวความรักของชายหนุ่ม เต็น และหญิงสาว เภา หลังจากที่ เภา ได้ประสบอุบัติเหตุโดยรถชน เธอได้รับการช่วยชีวิตจากแพทย์จนรอดชีวิต แต่เธอต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเธอไม่สามารถรับรู้ สื่อสารและช่วยเหลือตัวเองได้ (สภาวะสมองตาย ) หลังจากที่เธอต้องตกอยู่ในสภาพดังกล่าว พ่อแม่ของเธอของเธอจึงยื่นขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ดึงท่อออกซิเจน หรือเครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้เธอจากไปตามธรรมชาติ



        คำจำกัดความของ การตาย ในข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม โดยมีการรวมถึงสภาวะสมองตาย คือ การที่แกนสมองถูกทำลายจนสิ้นสุดการทำงานโดยสิ้นเชิงตลอดไป การกำหนดดังกล่าวทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นทางกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าแพทย์เป็นผู้วินิจฉัยการตาย ที่ผ่านมายังไม่มีกำหนดคำจำกัดความดังกล่าว มีเพียงประกาศแพทยสภาเรื่องเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตายตั้งแต่ ปี  2532 ซึ่งเป็นเพียงหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ ยังคงมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายได้ เมื่อได้กำหนดไว้ในข้อบังคับแพทยสภาดังกล่าวจึงสร้างความชัดเจนขึ้นทางกฎหมายว่า ผู้ได้รับการวินิจฉัยสมองตาย คือ ผู้ตาย เหตุที่ต้องมีกำหนดเช่นนี้เนื่องจากโดยทั่วไปจะเข้าใจว่าการตายนั้นถือว่าต้องไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น แต่ข้อเท็จจริงทางการแพทย์พบว่าผู้ป่วยที่สมองตาย คือ ภาวะที่ไม่รู้สึกตัวและไม่หายใจ ซึ่งมีเหตุจากสมองถูกทำลายโดยไม่สามารถแก้ไขได้นั้น แม้จะสามารถช่วยการหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจได้ ทำให้ร่างกายยังคงได้รับออกซิเจนและหัวใจยังทำงานได้โดยยากระตุ้นการทำงานของหัวใจ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถหยุดยั้งการหยุดทำงานของหัวใจได้ เนื่องจากสมอง คือ ศูนย์รวมของการควบคุมการทำงานของทุกอวัยวะในร่างกาย เมื่อสมองตายอวัยวะต่างๆ จะเสื่อมการทำงานของในเวลาไม่นาน หากยังคงให้การรักษาต่อไปมีแต่ความสิ้นเปลืองโดยไร้ประโยชน์




        พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่มีการประกาศบังคับใช้ไปตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้ว มีประเด็นหนึ่งในมาตรา 12 ที่น่าสนใจ ซึ่งกล่าวไว้ว่า
      "บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง"
จะเห็นได้ว่ามาตรานี้ ทำให้เกิดสิทธิขึ้น 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. สิทธิการตาย - เป็นเจตจำนงของผู้ป่วยเองโดยตรงที่จะตาย (อย่างมีศักดิ์ศรี?)
2. สิทธิที่จะฆ่า - ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขเช่น แพทย์หรือพยาบาล สามารถละเว้นการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยไม่ผิดกฎหมาย

         ดังนั้นผลดีที่เกิดกับผู้ป่วยและแพทย์จากการใช้มาตรานี้คือ ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลว่าจะตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็น สำหรับแพทย์นั้นก็ไม่ต้องกังวลในการกระทำดังกล่าวว่าจะผิดกฎหมายแต่อย่างใด
การตายโดยเกณฑ์สมองตายนี้ ทั่วโลกยอมรับและหลายประเทศกำหนดเป็นกฎหมายอย่างชัดเจนแล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=29498

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สิทธิของผู้หญิงมาถึงแล้ว “จากนางกลายเป็นนางสาว”

สิทธิของผู้หญิงมาถึงแล้ว “จากนางกลายเป็นนางสาว”

เป็นที่รู้กันดีว่าหญิงไทยอายุครบ 15 ปีเมื่อไร ไม่เพียงไปทำบัตรประชาชนได้เท่านั้น กฎหมายยังอัพเกรดให้กลายเป็นสาวด้วย โดยให้เปลี่ยนคำนำหน้าที่เคยเป็นเด็กหญิงว่า “นางสาว”
หลังจากนั้นอาจต้องมีการเปลี่ยนอีกทีเมื่อมีสามีตามกฎหมาย โดยจะถูกเรียกขานนำหน้าชื่อเสียใหม่ให้ว่า “นาง” และยังคงเรียกเช่นนี้ตลอดไปจนขาดใจตายนั่นเลย
ดิฉันอาจถูกมองว่าเป็นพวกหัวโบราณ หรือค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ก็ว่ากันไป เพราะดิฉันยังเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่า การใช้ชีวิตคู่มีองค์ประกอบสำคัญมากมายอยู่รายรอบตัว
และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ ก็คือ การให้เกียรติหัวใจซึ่งกันและกัน
มิใช่เป็นการให้เกียรติ หรือเรียกร้องว่าทำไมแต่งงานแล้วต้องเปลี่ยนคำนำหน้าหรือใช้นามสกุลของใครหรือไม่ แต่เป็นการยินยอมพร้อมใจที่จะขอร่วมคู่ชีวิตเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่ได้ยึดติดเรื่องของสัญลักษณ์..!!
ที่ผ่านมา การเปลี่ยนคำนำหน้า หรือเปลี่ยนนามสกุล มาใช้ของสามี เป็นการบอกเล่าประกาศให้เพื่อนพ้องญาติพี่น้องรับรู้ว่าคู่ของเราตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นคู่สามีภรรยา และพร้อมจะเป็นหนึ่งเดียวของกันและกัน
และหากวันหนึ่งวันใดที่เกิดเหตุไม่สามารถประคองชีวิตสมรสให้ตลอดรอดฝั่ง หรือมีเหตุต้องแยกทางกัน ฝ่ายหญิงก็อยากที่จะกลับไปใช้นามสกุลเดิมและคำนำหน้าชื่อเหมือนเดิม เพื่อแจ้งให้เพื่อนพ้องญาติพี่น้องรับรู้ว่าตนเองได้แยกทางกับสามีแล้วเช่นกัน
แต่ตอนนี้คุณผู้หญิงทั้งหลายมีโอกาสและทางเลือกขึ้นมาใหม่ให้ชีวิตของตนเอง เพราะกฎหมายออกมาว่า หลังจากเป็น “นาง” ก็สามารถเปลี่ยนใจมาเป็น “นางสาว” กับเขาได้ใหม่
จากการดูข่าวโทรทัศน์ และอ่านหนังสือพิมพ์ จึงได้ทราบว่าผู้หญิงจำนวนมาก ที่เดินทางไปอำเภอ เพื่อไปเปลี่ยน คำนำหน้านาม ของตนเอง จาก “นาง” เป็น “นางสาว” เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงในด้านต่างๆ และให้อิสระและเสรีภาพในการกำหนด คำหน้านามได้ อย่างสมัครใจ จึงขอแสดงความยินดีกับผู้หญิงที่ ต้องการอิสระ เสรีภาพ นี่เป็นโอกาสของคุณแล้วค่ะ

พระราชบัญญัติ คำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 125 ตอนที่ 28 ก. ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ได้ตีพิมพ์ พระราชบัญญัติ คำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 โดย
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อย ยี่สิบวันนับแต่วันประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบการใช้คำนำหน้านามหญิงเป็น อย่างอื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๔ หญิงซึ่งมีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว”
มาตรา ๕ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว”ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
มาตรา ๖ หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว หากต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รักษาการตามพระราชบัญญัติ
ที่มา : http://www.naewna.com/news.asp?ID=94174

แต่อย่างไรก็ตามการที่ผู้หญิงจะเลือกใช้คำนำหน้า นาง หรือ นางสาว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรืออุปสรรคในการใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งสอง แต่อยู่ที่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน การให้เกียรติ เชื่อมั่น และเชื่อใจในคนที่รักนี่แหละสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ค่ะ